ไขกระดูก (Bone Marrow): พบได้ในกระดูกชั้นใน –กระดูกสมบูรณ์ สร้างไขกระดูกสมบูรณ์ ฯ และได้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ที่สมบูรณ์ ได้เซลล์นักฆ่าที่มีคุณภาพ ในการต่อสู้ “ไวรัส โควิค 19”
ไขกระดูก (อังกฤษ: Bone marrow) เป็นเนื้อเยื่อยืดหยุ่นที่ “พบได้ในกระดูกชั้นใน” ส่วนสร้างเม็ดเลือด ซึ่งใช้ระบบไหลเวียนไขกระดูก (bone marrow vasculature) เป็นท่อสู่ระบบไหลเวียนของร่างกาย ไขกระดูกยังเป็นส่วนหลักของระบบนํ้าเหลือง (lymphatic system)
ไขกระดูกก็เป็นอวัยวะที่สำคัญอวัยวะหนึ่ง มีหน้าที่สร้างเม็ดเลือด เลือดของคนเราประกอบด้วยเม็ดเลือดและพลาสมาเม็ดเลือดมี ๓ ชนิด คือ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เม็ดเลือดแดงเป็นเม็ดเลือดส่วนใหญ่ที่มีในเลือดทำให้เลือดมีสีแดงเม็ดเลือดแดงมีเฮโมโกลบินเป็นส่วนประกอบ ทำหน้าที่ นำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งนำคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียต่างๆ กลับไปทิ้งยังปอด เม็ดเลือดอีก ๒ ชนิด ปริมาณที่น้อยกว่า คือ เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ป้องกัน ต่อสู้ และทำลายเชื้อโรค ส่วนเกล็ดเลือดมีหน้าที่ป้องกันเลือดออก โดยทำให้เลือดแข็งตัวเม็ดเลือดต่างๆ เหล่านี้ต้องมีปริมาณที่เพียงพอ
เช่น ถ้า “เม็ดเลือดแดงน้อยลงจะมีโลหิตจาง” เหนื่อยง่าย ถ้าเป็นมากอาจมีภาวะหัวใจวาย เม็ดเลือดขาวน้อยทำให้มีไข้ เป็นโรคติดเชื้อ เกล็ดเลือดตํ่าทำให้มีเลือดออกผิดปกติ
ไขกระดูกมนุษย์ผลิตประมาณ 500,000,000,000 เซลล์เม็ดเลือดต่อวันไหลเวียนดูดซึมผ่านเส้นเลือดภายในโพรงไขสันหลัง “เซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดรวมถึงเชื้อไมอีลอยด์และต่อมนํ้าเหลืองถูกสร้างขึ้นในไขกระดูก” แม้กระนั้นเซลล์ต่อมนํ้าเหลืองจะต้องย้ายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ของต่อมนํ้าเหลือง (เช่นไธมัส) เพื่อการเจริญเติบโตเต็มที่
***การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) ในอดีตเรียกว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก เป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคเลือดบางชนิด โดยเฉพาะโรคที่สร้างเม็ดเลือดในไขกระดูกลดลงผิดปกติเช่น โรคไขกระดูกฝ่อ ไขกระดูกทำงานผิดปกติ และมะเร็งระบบเลือดต่างๆ ซึ่ง สมุนไพรแร่ธาตุฟุลวิค แอชิค จะช่วยฟื้นฟูกระบวนการสร้างเม็ดเลือดในร่างกาย ได้อย่างสมบูรณ์
ชนิดและหน้าที่ของไขกระดูก:
เลือดคนเราประกอบไปด้วยเม็ดเลือดและพลาสมา เม็ดเลือดมี 3 ชนิด คือ เม็ดเลือดขาว (white blood cell) เม็ดเลือดแดง (red blood cell) และเกล็ดเลือด (platelets)
- เม็ดเลือดแดงเป็นเม็ดเลือดส่วนใหญ่ที่มีในเลือดทำให้เลือดมีสีแดง เม็ดเลือดแดงมีฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบ “ทำหน้าที่นำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งนำคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียต่าง ๆ กลับไปยังปอด”
- เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ป้องกัน ต่อสู้และทำลายเชื้อโรค
- ส่วนเกล็ดเลือดมีหน้าที่ป้องกันเลือดออกโดยทำให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล เม็ดเลือดต่าง ๆ เหล่านี้ถ้ามีปริมาณที่พอเหมาะและมีหน้าที่ปกติจะทำให้การทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างปกติสุข แต่ถ้ามีปริมาณน้อยลงหรือมีหน้าที่ผิดปกติ จะมีความผิดปกติและเป็นโรคขึ้น เช่น ถ้าเม็ดเลือดแดงน้อยลงจะเป็นโรคโลหิตจาง เหนื่อยง่าย ถ้าเป็นมากอาจมีภาวะหัวใจวาย ถ้าเม็ดเลือดขาวน้อยทำให้มีไข้เป็นโรคติดเชื้อ เกล็ดเลือดตํ่าก็ทำให้มีเลือดออกมากผิดปกติ
สมุนไพรแร่ธาตุฟุลวิค แอชิค: เสริมอาหารมายน์เคิล อย. 50-4-01261-5-0001 (แร่ธาตุธรรมชาติ) MINECLE DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT สารอาหารอินทรีย์ธรรมชาติอิเลตโตรไลน์:
เมื่อกระดูกเจริญเติบโตเต็มที่ เราจะต้องได้รับสารอาหารครบ 6 ประเภทอย่างเพียงพอและสมํ่าเสมอ ในสถานการณ์ปัจจุบันภาวะโรคไวรัสโควิค-19 ระบาดจึงจำเป็นที่จะต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีแข็งแรง ดังนั้นควรเสริมอาหารด้วยผลิตภัณฑ์ “เสริมอาหารมายน์เคิล” เพื่อกระดูกแข็งแรงสมบูรณ์ซึ่ง จะประกอบด้วยนํ้า ร้อยละ 20 สารอินทรีย์ ร้อยละ 30-40 ที่สำคัญคือโปรตีน ที่เหลือร้อยละ 40-50 เป็นแร่ธาตุต่างๆ แร่ธาตุสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของกระดูก คือ แคลเซียม และฟอสเฟต ซึ่งจับตัวกันเป็นผลึกแข็ง
โรคบางโรคนั้นไม่ได้เกิดจากผู้รุกรานภายนอกเสมอไปแต่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย เกิดจากความผิดปกติของเซลล์และการหลั่งฮอร์โม อาทิ มะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ ไทรอยด์ ต่อมลูกหมากโต อัลไซเมอร์
สำหรับมนุษย์และสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง "ต่อมไทมัส" เรียกได้ว่าเป็น "ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติของร่างกาย" เนื่องจากทำหน้าที่ ในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ สร้างสมดุลในการหลั่งฮอร์โมนหลายชนิด
ต่อมไทมัสจะมีขนาดเล็กลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะฝ่อไปจะสังเกตุเห็นได้ว่าโรคต่างๆ มักจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เราเริ่มมีอายุมากขึ้นก็เพราะว่าเซลล์ในร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันของเราได้เสื่อมลงไป
กรดฟูลวิค (Fulvic Acid) บำบัดโรคเสื่อม ดักจับสารอนุมูลอิสระ ล้างสารพิษ ฟื้นฟูเซลล์
อะไรคือกรดเกลือฟูลวิค (Fulvic Acid) และ กรดเกลือฮิวมิค (Humic Acid)? กรดเกลือฟูลวิค (Fulvic Acid) และ กรดเกลือฮิวมิค (Humic Acid) จัดอยู่ในกลุ่มสารอินทรีฮิวมิคที่ถูกย่อยสลายตามธรรมชาติที่พบอยู่ตามธรรมชาติโดยทั่วไป เมื่อกรดเกลือฮิวมิคถูกยกให้เป็นสารชีวเคมีที่สำคัญที่สุดในดินเพราะประกอบ ด้วยกลุ่มชีวเคมีพืชหลายชนิดรวมถึงทั้งสารสเตียรอยธรรมชาติ ฮอร์โมน กรดไขมัน โพลีพินอล (polyphemols) และคีโทน (ketones) นักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าจากการทับถมกันบนพื้นดินได้น้ำได้อากาศและบ่มหมักโดยเอ็นไซม์และเชื้อแบคทีเรียจนได้สารชีวเคมีเพิ่มเติมจำพวก flavonoids, flavones, flavins, catechins, tannins, quinones, isoflavones, tocopherols และอื่นๆ ซึ่งรู้กันดีในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ปัจจุบันว่าเป็นสารที่มีผลในการรักษากลุ่มโรคมะเร็งขับพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
ถ้าได้ติดตามข่าวสารทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่งโลกก็คงไม่พลาดสมญานามที่นักวิทยาศาสตร์ให้แก่ กรดเกลือฟูลวิค ว่า "เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของวงการธรรมชาติบำบัด" อย่างเป็นที่รู้กันว่ากรดเกลือฟูลวิคจะถูกพืชผักสกัดออกมาจากดินและมาเก็บไว้ และมนุษย์จะได้รับสารนั้นโดยการรับประทานพืชเหล่านั้น แต่การทำเกษตรกรรมในปัจจุบันทำให้สารเหล่านี้จางหายไปจากพืชเกือบที่จะหมดสิ้น ทำให้มนุษย์ไม่ได้รับประโยชน์ทางธรรมชาติบำบัดจากการรับประทานพืชผักเหมือนดังเช่นเดิม เมื่อกลุ่มของกรดเกลือฮิวมิคซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ กว่า 77 ชนิดโดยเฉพาะกรดเกลือฟูลวิคร่างกายจะพร่องประโยชน์จาก 6 รูปแบบในทันที
นี่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่กรดเกลือฟูลวิค (Fulvic Acid) และ กรดเกลือฮิวมิค (Humic Acid) กลายเป็นสารสำคัญในวงการธรรมชาติบำบัดและวิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบัน งานวิจัยและผลทางการแพทย์จากการทดลองใช้จริงในรูปแบบสารสกัดกับผู้ป่วยจริง รวมทั้งผลทางด้านส่งเสริมสุขภาพโดยบุคคลทั่วไปมากว่า 20 ปีทำให้สารเกลือแร่กลุ่มนี้ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่สารเสริมอาหารที่มนุษย์ขาดไม่ได้
สารเกลือแร่ หรือ แร่ธาตุตามที่เรารู้จักกันดีและถูกบังคับให้เรียน ให้จดจำมาตั้งแต่เล็กว่าเป็นหนึ่งในอาหารหลักห้าหมู่รวมกับ กลุ่มจำพวกของวิตามินที่ถ้าได้รับไม่เพียงพอหรือเสียสมดุลย์ก็จะทำให้เราป่วยได้ แร่ธาตุจะถูกดูดซึมโดยน้ำอาหารและอากาศจากชั้นหินผิวดินและกรวดทรายส่งผ่านมาสู่มนุษย์เรา
แร่ธาตุมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตและต่อสุขภาพของมนุษย์ แต่มักจะถูกลืมที่จะกล่าวถึงในวงการแพทย์และสุขภาพ ถึงแม้ว่าการขาดสมดุลย์ของแร่ธาติ คือสาเหตุของการเกิดโรคทุกชนิดแต่แพทย์และนักโภชนาการรู้กันดีว่า การขาดแร่ธาตุก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายมนุษย์ไม่สมบูรณ์ และอาจจะโยงมาถึงการที่ทำให้บุคคลนั้น เกิดสภาวะเสื่อมถอยจนเกิดสภาวะเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้ในที่สุด
โครงสร้างทางเคมีของทั้งวิตามิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมันจะเป็นแบบห่วงคาร์บอน ส่วนแร่ธาตุในผืนโลกนี้ยกเว้นตัวคาร์บอนเองจะไม่มีโครงสร้างทางเคมีเชื่อมต่อแบบคาร์บอน ทุกอย่างในโลกนี้ถูกสร้างมาโดยแร่ธาตุ ร่างๆ มนุษย์เราก็ถูกประกอบมาโดยการเชื่อมต่อของแร่ธาตุมาเป็นร่างกาย จะไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตใดสามารถเกิดและคงอยู่ได้ปราศจากแร่ธาตุ เกลือแร่เหล่านี้ควบคุมการทำงานทางด้านชีวเคมีและระบบชีวะโมเลกุล อย่างเช่นเอ็นไซม์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในตัวเราอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดจนสลายไปจากสภาวะเป็นอยู่ นี่อาจจะเป็นหลักความเป็นจริง ที่สะกิดให้นึกถึงความจำเป็นต่อสุขภาพ ที่จะต้องได้รับแร่ธาตุอย่างเพียงพอและสมดุลย์
สารเกลือแร่ที่ถูกจัดว่าเป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกายมีอยู่ 7 ชนิดซึ่งได้แก่ แคลเซียม แม็กนีเซียม โพรแทสเซียม ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ โซเดียมและคลอไรด์ ซึ่งมักนะถูกให้ความสำคัญมากที่สุดแต่อย่าลืมว่า มีแร่ธาตุอื่นๆ อีกกว่า 70 ชนิดที่เทียบแล้วอาจจะปรากฎอยู่แค่หนึ่งในร้อยของน้ำหนักตัวโดยรวมของเรา แต่ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งหรือแม้กระทั่งขาดค่าความสมดุลเราก็จะป่วยหรืออาจจะเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
องค์การสาธารณสุขแห่งสหประชาชาติหรือ World Health Organization (WHO) ได้แถลงยืนยันจากการสำรวจประชากรทั้งโลกว่าจำนวนประชากรมากว่า 90 เปอร์เซนต์ โดยรวมมีสภาวะขาดสมดุลย์แร่ธาตุด้วยเหตุที่ว่าแหล่งน้ำและอาหารของเราสมัยนี้ ขาดหรือเสียสมดุลย์ของทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ
อายุที่มากขึ้นก็เป็นสาเหตุหลักในการย่อยและดูดซึมแร่ธาตุได้น้อยลง หรือแม้จะจัดการขับและปรับสมดุลย์แร่ธาตุส่วนเกินของร่างกาย อีกทั้งสภาวะสิ่งแวดล้อมภายนอกและภายในอย่างเช่นมลภาวะร่างกายอ่อนแอหรือแม้กระทั่งสภาวะตึงเครียดทางจิตใจ ทำให้ร่างกายใช้แร่ธาตุหลายชนิดมากกว่าสภาวะปรกติเป็นเท่าตัว
วิตามินและเกลือแร่ถูกสร้างมาคู่กันการขาดสมดุลย์ของแร่ธาตุหมายถึง การไร้ความสามารถในการดูดซึมวิตามินและการนำไปใช้ ถ้าจะพูดกันตามหลักชีววิทยาแล้วเกลือแร่เป็นตัวก่อโครงสร้างทางชีวเคมี เพื่อให้การใช้และการดูดซึมวิตามิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรด์ และไขมันเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ระบบขับของเสียออกจากร่างกายและดีท็อกลำไส้ส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันและอัตราการเสื่อมสภาพของร่างกายมนุษย์ โดยตรงด้วยเช่นกัน
ถ้าร่างกายขาดสมดุลย์ของแร่ธาตุไม่ว่าจะรับวิตามินอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เพียงใด ก็ไม่มีผลดีใดๆ กับร่างกาย จนกว่าจะได้รับแร่ธาตุที่ครบถ้วนสมดุลด้วยเช่นกัน การรักษาสมดุลย์ของสารเกลือแร่ในร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของชีวิต ถ้าเกิดการลดหรือเพิ่มสารเกลือแร่ใดเพียงชนิดเดียวอย่างฉับพลันนั่นอาจจะหมายถึงชีวิตเลยทีเดียว แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าระบบขาดสมดุลของแร่ธาตุก็ต้องไปเสาะหาแหล่งแร่ธาตุจากอวัยวะภายในเพิ่มมาทดแทน เพื่อสร้างสมดุลสมการให้คงที่ในการดำรงชีวิตให้มากที่สุด ตัวอย่างเช่นถ้าร่างกายขาดเกลือแร่แคลเซียม ร่างกายก็จะไปทำการละลายมวลกระดูกที่เป็นแหล่งสารแคลเซียมที่มีอยู่มาก ในร่างกายเข้าสู่ระบบซึ่งนานวันเข้าจะทำให้มวลกระดูกบางและไขข้อเสื่อม หรือถ้าร่างกายขาดเกลือแร่โซเดียมก็จะไปทำการขอยืมสารโซเดียมจากเยื่อบุกระเพาะอาหารที่เป็นแหล่งสารโซเดียม ที่มีอยู่มากในร่างกายเข้าสู่สมดุลจนนานวันเข้าจะส่งผลทำให้ระบบการย่อยและการดูดซึมเสื่อมได้
นักวิทยาศาสตร์รู้กันดีว่าสารเกลือแร่ทำงานกันเป็นทีมโดยที่การคงอยู่และดูดซึมของสารตัวหนึ่งขึ้นอยู่กับสารเกลือแร่อื่นๆ โดยยึดหลักการคงอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลกล่าวกันแบบง่ายๆ ก็คือการที่เซลล์ขาดเกลือแร่ธาตุเพียงตัวเดียวจะทำให้การดูดซึมและขับถ่ายแร่ธาตุส่วนเกินของสารเกลือแร่อีกหลายชนิดไม่เกิดขึ้นด้วยเช่นกันเป็นปฏิกริยาต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าวิตามินและสารเกลือแร่จะมีโครงสร้างทางชีวเคมีที่ต่างกันแต่ความสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกันเพื่อสุขภาพ และการขับถ่ายของมนุษย์ ทำให้สารทั้งสองประเภทนี้ไม่สามารถขาดหรือเสียสมดุลจากกันได้เลย